ข่าวสารและสาระน่ารู้

โรคยอดฮิตในสุนัขไทยและวิธีป้องกัน

สุนัขเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์และอยู่เคียงข้างเจ้าของเสมอ
แต่หลายครั้ง “โรคในสุนัข” กลับกลายเป็นสิ่งที่เจ้าของมักมองข้าม
เพราะคิดว่าสุนัขแข็งแรงอยู่แล้ว หรือไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน

ความจริงคือ โรคสุนัขหลายชนิด “รุนแรงถึงชีวิต” ได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคและปรสิตชั้นดี

วันนี้เราจะพาไปรู้จักโรคยอดฮิตในสุนัขไทยที่พบบ่อยที่สุด
พร้อมแนวทางดูแลและป้องกัน เพื่อให้เจ้าตูบของคุณมีสุขภาพดี อยู่กับเราไปนาน ๆ


1. โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส Canine Distemper Virus (CDV) ติดต่อได้ง่ายผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก หรืออากาศจากสุนัขที่ป่วย

อาการ

  • มีไข้สูง

  • ตาและจมูกมีน้ำมูกข้น

  • ไอ จาม

  • เบื่ออาหาร ซึม

  • มีอาการชัก หรือกล้ามเนื้อกระตุก (ในรายที่รุนแรง)

การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ ต้องรักษาประคับประคอง เช่น ให้น้ำเกลือ ยาลดไข้ และยาต้านเชื้อแทรกซ้อน

การป้องกัน

  • ฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่อายุ 6–8 สัปดาห์ และกระตุ้นทุกปี

  • หลีกเลี่ยงการให้สุนัขสัมผัสกับสุนัขแปลกหน้าหรือในที่แออัด

  • รักษาความสะอาดของที่นอนและอุปกรณ์สุนัขเสมอ


2. โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส Rabies Virus ติดต่อผ่านการกัด ข่วน หรือการสัมผัสน้ำลายจากสัตว์ที่ติดเชื้อ

อาการ

  • มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป หงุดหงิด ดุร้าย หรือซึมผิดปกติ

  • กลืนลำบาก น้ำลายไหล

  • เดินเซ กล้ามเนื้อกระตุก

  • ตายในไม่กี่วันหลังแสดงอาการ

การรักษา
ไม่สามารถรักษาให้หายได้เมื่อเริ่มแสดงอาการ ต้องป้องกันเท่านั้น

การป้องกัน

  • ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าครบทุกปี

  • หากถูกกัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด แล้วรีบไปพบแพทย์ทันที

  • อย่าปล่อยให้สุนัขออกนอกบ้านโดยไม่มีสายจูง


3. โรคพาร์โวไวรัส (Canine Parvovirus)

สาเหตุ
ติดเชื้อไวรัส Parvovirus ผ่านการสัมผัสอุจจาระหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนจากสุนัขป่วย
ลูกสุนัขอายุน้อยกว่า 6 เดือนเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด

อาการ

  • อาเจียนรุนแรง

  • ท้องเสียเป็นเลือด

  • เบื่ออาหาร ซึม

  • ขาดน้ำอย่างรวดเร็ว
    หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจเสียชีวิตภายใน 48–72 ชั่วโมง

การรักษา
ต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดและยาป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

การป้องกัน

  • ฉีดวัคซีนตามกำหนดตั้งแต่ลูกสุนัข

  • ทำความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์สุนัขด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

  • แยกสุนัขป่วยออกจากตัวอื่น


4. โรคเห็บหมัด (Tick & Flea Infestation)

สาเหตุ
เกิดจากการถูกเห็บ หมัด หรือไรดูดเลือด มักพบในสุนัขที่อาศัยในพื้นที่ชื้นหรือไม่ค่อยอาบน้ำ

อาการ

  • คัน เกา หรือกัดขนจนเป็นแผล

  • ผิวหนังแดงเป็นตุ่ม

  • ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ

  • ในรายที่รุนแรงอาจเกิดโรคโลหิตจาง

การรักษา
ใช้ยาหยด ยาพ่น หรือยากินกำจัดเห็บหมัดตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
รักษาความสะอาดของที่นอนและอุปกรณ์ทุกสัปดาห์

การป้องกัน

  • ใช้ยากำจัดเห็บหมัดเป็นประจำทุกเดือน

  • ซักผ้าที่นอนสุนัขด้วยน้ำร้อนหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ

  • ตรวจตัวสุนัขหลังกลับจากสนามหญ้าหรือที่กลางแจ้ง


5. โรคพยาธิในเม็ดเลือด (Blood Parasite Disease)

สาเหตุ
เกิดจากการถูกเห็บกัด ซึ่งนำเชื้อ Babesia หรือ Ehrlichia เข้าสู่กระแสเลือด

อาการ

  • มีไข้สูง

  • เหงือกซีด

  • อ่อนแรง ไม่ยอมกินอาหาร

  • ปัสสาวะสีเข้ม

  • น้ำหนักลด

การรักษา
สัตวแพทย์จะให้ยาฆ่าพยาธิในเม็ดเลือดและยากระตุ้นเม็ดเลือด
อาจต้องให้เลือดในกรณีอาการรุนแรง

การป้องกัน

  • ควบคุมเห็บหมัดอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจสุขภาพสุนัขประจำปี

  • พาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันทีหากมีอาการซึมหรือซีด


6. โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ (Kennel Cough)

สาเหตุ
ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย เช่น Bordetella bronchiseptica
แพร่กระจายทางอากาศ โดยเฉพาะในที่ที่มีสุนัขรวมตัวกันจำนวนมาก เช่น โรงแรมสุนัข หรือคาเฟ่สัตว์

อาการ

  • ไอเสียงแหบ คล้ายคนเป็นหวัด

  • จาม มีน้ำมูก

  • ซึม เบื่ออาหาร

การรักษา
ให้ยาลดอาการไอและยาปฏิชีวนะ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วม

การป้องกัน

  • ฉีดวัคซีนป้องกัน Kennel Cough

  • แยกสุนัขป่วยออกจากตัวอื่น

  • หมั่นทำความสะอาดกรงและพื้นที่อยู่อาศัย


7. โรคผิวหนังจากเชื้อราและแบคทีเรีย

สาเหตุ
เกิดจากความชื้น เหงื่อ สิ่งสกปรก หรือภูมิคุ้มกันต่ำ
พบมากในสุนัขขนยาวหรืออาศัยในที่อับ

อาการ

  • ขนร่วงเป็นวง

  • ผิวหนังแดง เป็นขุย หรือมีตุ่มหนอง

  • มีกลิ่นเหม็นจากตัวสุนัข

การรักษา
ใช้ยาทา ยาสระผม หรือยากินตามชนิดของเชื้อ
ในบางกรณีอาจต้องตัดขนและรักษาหลายสัปดาห์

การป้องกัน

  • อาบน้ำสุนัขอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง

  • ทำให้ขนแห้งสนิททุกครั้งหลังอาบน้ำ

  • พาสุนัขตรวจสุขภาพผิวหนังเป็นระยะ


8. โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

สาเหตุ
มักเกิดจากการขาดน้ำเรื้อรัง หรืออาหารที่มีโซเดียมและโปรตีนสูงเกินไป
พบมากในสุนัขสูงวัย

อาการ

  • ดื่มน้ำมากกว่าปกติ

  • ปัสสาวะบ่อยหรือมีสีเข้ม

  • เบื่ออาหาร อาเจียน น้ำหนักลด

  • ซึมและมีกลิ่นปากแรง

การรักษา
สัตวแพทย์จะตรวจเลือดและปรับอาหาร รวมถึงให้ยาควบคุมอาการ
ในบางรายอาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด

การป้องกัน

  • ให้น้ำสะอาดตลอดเวลา

  • เลือกอาหารที่เหมาะกับอายุและสุขภาพ

  • ตรวจสุขภาพประจำปีโดยเฉพาะสุนัขอายุ 7 ปีขึ้นไป


9. โรคข้อสะโพกเสื่อม (Hip Dysplasia)

สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือการเลี้ยงในพื้นที่ที่พื้นลื่นเกินไป
มักพบในสุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น ลาบราดอร์ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ และไซบีเรียนฮัสกี

อาการ

  • เดินกะเผลก ลุกยาก

  • ชอบนั่งท่าข้าง

  • ไม่อยากวิ่งหรือเล่นเหมือนเดิม

การรักษา
รักษาโดยการให้ยาลดอักเสบ กายภาพบำบัด หรือผ่าตัดในกรณีรุนแรง

การป้องกัน

  • ควบคุมน้ำหนักสุนัขไม่ให้เกินเกณฑ์

  • หลีกเลี่ยงพื้นลื่น เช่น กระเบื้องมันเงา

  • พาออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ


สรุป: ป้องกันไว้ดีกว่ารักษา

โรคในสุนัขหลายชนิดสามารถ “ป้องกันได้”
เพียงเจ้าของใส่ใจและปฏิบัติตามหลักง่าย ๆ ดังนี้

  • ฉีดวัคซีนตามกำหนดทุกปี

  • ให้อาหารและน้ำสะอาด

  • อาบน้ำและตรวจร่างกายประจำสัปดาห์

  • พาสุนัขไปตรวจสุขภาพประจำปี

  • รักษาความสะอาดบ้านและที่อยู่ของสุนัข

“การดูแลที่สม่ำเสมอ คือของขวัญที่ดีที่สุดที่เจ้าของมอบให้สุนัขของคุณได้”


ติดต่อเรา : www.natradaanimalhospital.com